การทำการตลาดใดๆ ก็ตาม การวัดและประเมินผลออกมาเป็นตัวเลขได้อย่างแน่นอนจะทำให้การวางแผนการตลาดในอนาคตมีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งตัวช่วยในการวัดผลตอบแทนก็คือการคำนวณ Return on Investment (ROI) ที่จะทำให้มองเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน และสามารถเปรียบเทียบแผนการตลาดแต่ละแบบว่าแบบไหนได้ผลดีกว่ากัน
Return on Investment (ROI) คืออะไร?
Return on Investment หรือย่อว่า ROI คือ การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน กล่าวคือ เมื่อเราลงทุนอะไรไปสักอย่าง เราต้องการทราบหรือประเมินได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ จึงมีการวัดผลตอบแทนนั่นเอง โดยการลงทุนทุกประเภทที่ใช้เงินทุนสามารถวัดค่า ROI ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Google Ads (AdWords) การทำโฆษณาทางโทรทัศน์ รวมไปถึงการออกบูท การทำแคมเปญต่างๆ โดย ROI ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะแปลว่าใช้เงินลงทุนน้อย แต่ได้ผลลัพธ์มากนั่นเอง
การคำนวน Return on Investment (ROI)
วิธีการคำนวณ ROI มีสูตรดังนี้
กำไรสุทธิ = รายรับ-ต้นทุน
ROI = (กำไรสุทธิ/ต้นทุน) X 100
ตัวอย่างเช่น บริษัท A ลงทุนทำออกบูธด้วยเงินทุน 20,000 บาท ทำให้มีลูกค้าสนใจสินค้าและซื้อสินค้าไป 60,000 บาท
กำไรสุทธิ = 60,000 – 20,000 = 40,000 บาท
ROI = (40,000/20,000) X 100
ROI = 200%
ซึ่งการลงทุนใดที่มีค่า ROI เกิน 100% ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก
ความสำคัญของ Return on Investment (ROI)
ROI มีความสำคัญต่อการทำการตลาดมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่นิยมทำโฆษณาบนออนไลน์ เช่น Google Ads (Adwords) และ Facebook Ads เพราะทำให้ทราบรายได้ที่ได้รับจากการลงโฆษณา รวมถึงทำให้ทราบว่าการสร้างแคมเปญ การออกบูธ ประสบผลสำเร็จหรือไม่ และยังทำให้เปรียบเทียบได้ว่าการทำแคมเปญแบบไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนกับแคมเปญแบบไหนมากกว่า และยกเลิกแคมเปญที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้วางแผนการตลาดได้ดีขึ้น และมียอดขายเติบโตมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า ROI มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการทำธุรกิจมาก ถ้าทำธุรกิจโดยไม่สนใจว่าผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ การทำธุรกิจให้เติบโตก็อาจเป็นไปได้ยาก เพราะมองไม่เห็นทิศทางว่าทำการตลาดแบบไหนจะสำเร็จมากกว่านั่นเอง