1. เลือกตลาดและลูกค้า

การกำหนดตลาดและลูกค้าจะช่วยให้เป้าหมายของคุณชัดเจนขึ้น ทั้งสินค้าที่จะขาย กลยุทธ์การขาย และทำให้คุณหาข้อมูลก่อนจะลงมือทำธุรกิจ E-commerce ได้ง่ายขึ้นด้วย

2. สร้าง Story ของตนเอง

ปัจจุบันการสร้างแบรนด์ต่างๆ Story หรือเรื่องราวความเป็นมาสำคัญมาก เพราะจะทำให้ลูกค้าโดยเฉพาะลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมีความรู้สึกร่วมไปกับแบรนด์ของเราได้ง่าย และสร้างความน่าสนใจของแบรนด์ ซึ่ง Story ที่ว่านั้นต้องควรมาจากประสบการณ์ของผู้สร้างแบรนด์จริงๆ และมีจุดที่ยากลำบาก หรือเป็นปัญหาเดียวกันกับที่ลูกค้ามี ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกันกับเขา และเราได้นำเสนอหนทางแก้ไขด้วยสินค้าหรือบริการของเรานั่นเอง

3. ตั้งชื่อแบรนด์หรือธุรกิจที่จำง่าย สื่อถึงสินค้า

ควรตั้งชื่อแบรนด์หรือธุรกิจที่จดจำได้ง่ายและสื่อถึงสินค้าที่ขาย เพราะคนทั่วไปจะได้เข้าใจว่าแบรนด์ของเราขายอะไร รวมถึงถ้าใช้ชื่อที่ดี ก็สามารถคิดโฆษณาที่ติดตลาดได้ไม่ยากด้วย

4. ตั้งชื่อโดเมนที่สั้นและจำง่าย สื่อถึงสินค้า

นอกจากตั้งชื่อธุรกิจแล้ว ชื่อโดเมนหรือชื่อเว็บไซต์สำหรับขายสินค้าของเราก็เป็นเรื่องสำคัญ โดยต้องสอดคล้องกับชื่อธุรกิจและสื่อถึงธุรกิจของเรา และเมื่อเราทำธุรกิจแบบ E-Commerce ความน่าเชื่อถือบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราจึงต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย

5. รู้ประเภทของ E-Commerce ที่ต้องการทำ

โดยประเภทของ E-Commerce มีหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราทำธุรกิจกับใคร เช่น B2B หรือ Business to Business คือการทำธุรกิจกับผู้ประกอบการด้วยกัน เป็นการขายส่ง หรือ B2C หรือ Business to Customer คือการทำธุรกิจกับผู้บริโภค เป็นการขายปลีก เป็นต้น เมื่อเรารู้แล้วว่าต้องการทำ E-Commerce แบบไหน ก็จะทำให้เรากำหนดกลยุทธ์ และกิจกรรมส่งเสริมการขายได้ตรงจุดมากขึ้น

6. วางแผนการตลาดแบบออนไลน์

การทำ E-Commerce มีข้อได้เปรียบ ตรงที่มีช่องทางการโปรโมทที่ไม่ต้องเสียเงินอย่างอินเตอร์เน็ต เพียงแต่คุณต้องรู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้สื่อออนไลน์ ว่าชอบคอนเทนต์แบบไหน สนใจเรื่องอะไร และกลุ่มลูกค้าของคุณใช้แพลตฟอร์มอะไร เพื่อที่จะได้ทำการตลาดได้ถูกจุด ทั้งยังสามารถตรวจสอบผลตอบรับได้ทันทีอีกด้วย

7. อยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่ได้

แม้ว่าการทำธุรกิจออนไลน์จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปได้โดยง่าย แต่เราก็ต้องหาคู่ค้าที่ดีด้วย เช่น ผู้ผลิต ตัวแทนจำหน่าย ไปจนถึงธนาคารโดยการทำ Payment Gateway ที่ลูกค้าสามารถใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าของเราได้เลย

8. ซอฟต์แวร์ที่เลือกใช้ต้องดี

พูดง่ายๆ ว่า E-Commerce คือการทำธุรกิจผ่านโลกออนไลน์ ดังนั้นจึงต้องมีซอฟต์แวร์ที่รองรับการทำธุรกิจนี้ หรือมีระบบ Online Shopping ที่สามารถจัดการได้ง่าย รวมทั้งหน้าเว็บไซต์ต้องเป็น Responsive Website ที่รองรับทุกอุปกรณ์ คือเล่นบนสมาร์ทโฟนก็ถนัด เล่นบนคอมก็สะดวก มีระบบการจ่ายเงินและการจัดการคลังสินค้าที่ดี โดยซอฟต์แวร์ที่เราเลือกใช้ต้องมีผู้พัฒนาคอยพัฒนาอยู่เสมอ และรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคตด้วย

9. ต้องเช็คความเป็นไปของธุรกิจได้ตลอดเวลา

ในเมื่อธุรกิจ E-Commerce เป็นธุรกิจที่ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นคุณควรเข้าไปตรวจเช็คสถานะปัจจุบันของธุรกิจได้ เช่น มียอดขายเท่าไหร่ สินค้าหมดหรือไม่ มีปัญหาอะไรหรือไม่ เพื่อให้คุณแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ไม่ให้ลูกค้าพบกับข้อผิดพลาด

10. เว็บไซต์คือรากฐาน ส่วนแพลตฟอร์มอื่นคือช่องทางโปรโมตและสื่อสาร

ผู้ทำธุรกิจออนไลน์ต้องยึดเว็บไซต์เป็นหลักฐาน เพราะคือแพลตฟอร์มของเราเอง ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น LINE, Facebook, Instagram เป็นเพียงช่องทางที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น และแชทติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็วเท่านั้น ในอนาคตแพลตฟอร์มเหล่านั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เราจึงต้องยึดเว็บไซต์เป็นรากฐานสำคัญ

หนึ่งในเรื่องสำคัญของการทำธุรกิจ E-Commerce คือ การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ว่าใช้แพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มแตกต่างกันอย่างไร ควรโปรโมทอย่างไร รวมถึงมีความสะดวกและรวดเร็ว การสั่งซื้อไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะไม่อย่างนั้นลูกค้าก็อาจหันไปเลือกซื้อสินค้าหรือบริการกับแบรนด์อื่นที่มีอีกมากมายบนโลกออนไลน